วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปรีชา ประกอบกิจ : แอมเวย์

ในบริเวณห้องทำงานบนชั้นสอง ปรีชา ประกอบกิจกรรมการผู้จัดการของบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด นั่งมองสมาชิกและนักธุรกิจของแอมเวย์ที่เดินกันอย่างขวักไขว่บริเวณชั้นล่างอย่างภาคภูมิใจ
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจำนวนสมาชิก หรือตัวเลขรายได้ของบริษัทที่สูงเกือบ 10,000ล้านบาท แต่มาจากความภาคภูมิใจที่เขาได้มีโอกาสสร้างความสำเร็จให้กับคนธรรมดาหลายๆคน ในฐานะนักธุรกิจอิสระของแอมเวย์
มีหลายครั้งที่ปรีชาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงยังทำงานอยู่ตรงนี้ ไม่เลือกไปทำงานเป็นนักธุรกิจอิสระของแอมเวย์ และคำตอบของเขาก็คือ เป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน ความสุขของปรีชา คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนักธุรกิจอิสระทั้งหลาย

“ มนุษย์แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันไป สำหรับผมแล้วพอเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริษัทแอมเวย์ เติบโตมาในสายงานบริหาร ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมได้ทำร่วมกับพนักงานคนอื่น ไม่ใช่แค่เพียงทำให้เขามีรายได้ หรือคนจำนวนหนึ่งมีรายได้ หรือบริษัทมีรายได้เติบโตมาจนยอดขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมยังอยู่มาถึง 18ปี เพราะผมเห็นว่าทำให้ผู้คนพัฒนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งที่อื่นไม่มี”

“ถ้าผมทำจริง อาจจะไม่เอาชนะอุปสรรคเหมือนที่คนอื่นทำก็ได้ เพราะต้องนำเสนอสินค้า ชักชวนคนต้องทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปีๆ และแน่นอนทุกครั้งที่ทำต้องเจออุปสรรค มันเป็นไปได้ว่าผมอาจจะยอมแพ้ตั้งแต่ขายราย สองรายแรก และอาจไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลยก็ได้ ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ”


ชีวิตของปรีชาในอเมริกาใน 4ปีแรก หมดไปกับหน้าที่หลักสองอย่าง คือ เรียน และทำงาน ตั้งแต่ 7โมงเช้าถึงช่วงเที่ยงจะเป็นชั่วโมงแห่งการเรียน และช่วงเวลาที่เหลือจากนั้นจะหมดไปกับการทำงานที่ร้านซ่อมโทรทัศน์ และเครื่องเล่นวีดีโอเทป เงินที่ได้มาจากการทำงานถูกแบ่งออกเป็น 3ส่วน โดยส่วนแรกเก็บไว้สำหรับค่าเทอม ส่วนที่สองเป็นค่ากินอยู่ และส่วนที่สามเป็นเงินติดกระเป๋าเล็กน้อย
แม้จะยอมรับว่าชีวิตในอเมริกาเป็นช่วงที่ลำบากมากที่สุดช่วงหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้จากการแลกครั้งนี้ คือ ประสบการณ์ที่มีค่ามหาศาล


“ชีวิตช่วงนั้นผมจะเริ่มต้นด้วยตอนเช้าประมาณ 7โมง เรียนจนถึงเที่ยง และตอนบ่ายจึงไปทำงานประมาณ 6ชั่วโมงต่อวัน สมัยนั้นผมทำงานซ่อมทีวี เครื่องเล่นวีดีโอเทปชั่วโมงหนึ่งได้ตั้ง 10เหรียญ ซึ่งรายได้ดีกว่าการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารมาก พอผมเริ่มคล่อง รู้จักคนมาก ผมก็เลยไม่ทำงานเป็นชั่วโมงแล้ว มาซ่อมเป็นเครื่องแล้วแบ่งกับทางร้านคนละครึ่ง บางทีผมซ่อมเครื่องหนึ่งใช้เวลา 15นาทีก็เสร็จแล้ว ครึ่งหนึ่งก็ 10เหรียญ แล้วตอนนั้นหาคนซ่อมโทรทัศน์ เครื่องเล่นเทปยาก แต่มันขายดีมาก เพราะว่าของใหม่คนต้องการเยอะ”

“ช่วงนั้นถึงจะลำบากแต่ก็สนุกมาก ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมคิดว่าได้ประสบการณ์ ได้ผลผลิตที่ดีมากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะเรียนด้วย ทำงานด้วย เก็บเงินด้วย เพราะฉะนั้นเลยสนุกมาก ถือว่าเป็นจุดหักเหหนึ่งของชีวิตที่ผมตัดสินใจไปเรียนต่อ ถ้ามัวแต่คิดว่าอยู่เมืองไทยดีกว่า ทำงานเป็นช่างอย่างนี้ต่อไป ตอนนี้สายตาคงไม่ดี ซ่อมทีวีแต่ละทีคงทำไม่ได้แล้ว”


“ผมไม่เคยรู้สึกโกรธหากใครมองว่าแอมเวย์เป็นลัทธิ ผมกลับมองว่ารู้สึกดีด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะพูดในเชิงของการเยาะเย้ย หรือกระแนะกระแหน เพราะความเป็นลัทธิเปรียบเทียบกับนิสัยของคนได้หลายอย่าง เช่น ความรักชาติ คุณอาจจะรักหลงอะไรอย่างหนึ่งจนคุณยึดมั่นอยู่ตรงนี้ และมีหลายคนเป็นเหมือนกับคุณ ก็เลยตั้งว่าเป็นลัทธิ”

“โดยนัยแล้ว ลัทธิกับศาสนาใกล้เคียงกัน ทำไมคุณเชื่อศาสนา เพราะคุณนับถือองค์ศาสดา มีวิธีการสอนอย่างนี้ เมื่อคุณเชื่อโดยที่ไม่คลางแคลงใจ และมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันมาเชื่อเหมือนคุณ กลุ่มที่เชื่อเหมือนกันนี้ ก็เลยถูกคนภายนอกมองว่าเป็นลัทธิ เพราะฉะนั้นหากมองว่าแอมเวย์เหมือนลัทธิ แอมเวย์ต้องมีวัฒนธรรม หรือแนวคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้คนเชื่อในสิ่งเดียวกันได้ ดังนั้น ถ้าถามว่าแอมเวย์เชื่ออะไร หรือเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้คนนับล้านทั่วโลกถึงมาหลงใหลกับแอมเวย์ ในความเห็นของผมแล้ว คนเหล่านี้เขาเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของอะไรบางอย่าง เมื่อเขามาทำงานที่แอมเวย์”

“เมื่อเขาเข้ามาในสังคมนี้ เขากำลังเชื่อถืออะไรบางอย่าง หนึ่ง แอมเวย์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ สอง แอมเวย์สนับสนุนให้คุณยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง สร้างอนาคตด้วยตัวเอง คุณไม่ต้องแบมือขอใคร และไม่ยอมแบมือคอยรับจากใครด้วย เมื่อเขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของด้วยกันทั้งหมด ก็กลายเป็นลัทธิแล้ว แต่ลัทธิอาจจะมองในเชิงเข้าใจผิด อันนี้ผมยอมรับ ลัทธิแอมเวย์มีแต่คนไม่ชอบ เพราะว่ามีคนมาชอบตื๊อ ชอบพูดเกินจริงว่าทำแล้วรวย มีแต่คนมาบอกว่า ‘ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ ถึงมาทำแอมเวย์’ “

“คำพูดแบบนี้มีมาอยู่เสมอ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความเข้าใจผิด อาจมาจากคนแอมเวย์ไปสร้างให้คนอื่นเข้าใจผิด หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยมาพบปะแอมเวย์แท้ๆ เขาไปได้ยินมาจากคนอื่นอีกที และบอกต่ออย่างนี้ไปเป็นทอดๆ เลยเหมาเอาว่าแอมเวย์ไม่ดี ผมมั่นใจว่า ถ้าใครไม่มีอคตินะ ลองเปิดใจสักนิด อาจไม่ทำ หรือไม่ซื้อ แค่เข้ามาฟัง ผมคิดว่านั่นอาจเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่งในชีวิตเขา”



จากหนังสือ : นิตยสาร Marketeer

วิทยา สินทราพรรณทร : นิปปอนเพนต์


ภารกิจแรกที่เป็นบททดสอบสำหรับวิทยาคือการแจ้งเกิดสีนิปปอน วีนิเลกซ์ ไฮบริดชิลด์ ชนิดกึ่งเงา หากมองเพียงผิวเผินอาจไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ในตระกูลวีนิเล็กซ์ที่โลดแล่นอยู่ในตลาดมานานพอสมควร ส่งผลให้แบรนด์ของผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่งแล้ว แต่การส่งผลิตภัณฑ์เข้าสู่สนามช้ากว่าคู่แข่ง การจะทำให้สินค้าเป็นที่ยอมรับอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

“การเข้าตลาดก่อนหรือหลังไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค หากสินค้ามีคุณภาพดีกว่าย่อมได้รับการตอบรับ ผู้บริโภคยุคนี้มองที่คุณภาพเป็นสำคัญ ถ้าเลือกที่ราคาถูกก็อาจเลือกได้ แต่ต้องถามว่า ตอบสนอง Need หรือเปล่า สีวีนิเลกซ์ ไฮบริดชิลด์ไม่ได้ตอบสนองแค่ Basic Need เท่านั้น แต่ยังไร้สารพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ของเราเป็น Green Product”


การเปิดตัวสีนิปปอน วีนิเลกซ์ ไฮบริดชิลด์ ชนิดกึ่งเงา ไม่เพียงแต่จะเป็นงานแรกของวิทยาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการประกาศให้กับผู้เล่นรายอื่นในตลาดได้รับรู้ว่า จากนี้ไปนิปปอนเพนต์จะเดินเกมรุกในผลิตภัณฑ์ Decorative มากขึ้น จากที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสีอุตสาหกรรมด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 30% มาเสียนาน และแน่นอนว่า การสร้างแบรนด์ย่อมเป็นอีกภารกิจหนึ่งของวิทยาที่ต้องทำควบคู่ไปกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด

“เมื่อพูดถึงแบรนด์นิปปอนเพนต์ ผมคิดว่า ทุกคนรู้จัก Top of Mind ของผู้บริโภคคือคุณภาพ เราจะให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่แตกต่างไปจากอดีตคงไม่ได้ เพราะฉะนั้นการทำตลาดจะเน้นไปที่ความทนทาน โดยเฉพาะความเป็นคนช่างเลือก ซึ่งเป็น Overall Direction ของสีที่จะเปิดตัวในปีนี้ เราจะใช้ข้อความว่า ช่างเลือก...เลือกสีนิปปอนเพนต์ มาสื่อสารกับผู้บริโภค เพราะเป็นคำที่ตีความได้ 2 ด้าน ด้านแรก สีเป็นเรื่องของช่าง ช่างทาสีเป็นผู้เลือก และเลือกเรา อีกด้านหนึ่งสะท้อนไปถึงความเป็นคนช่างเลือกของเจ้าของบ้านที่มีความรู้ในการใช้สีมากขึ้น หากคุณเป็นคนที่ช่างเลือกก็เลือกเรา”

“แต่การทำตลาดและสร้างแบรนด์ เราจะหวังเพียงแค่การโฆษณาผ่านสื่อคงไม่พอ การเข้าถึงผู้บริโภค การสร้างการรับรู้ในแบรนด์ การสร้าง Relationship ระหว่างบริษัทผู้ผลิตกับผู้บริโภคเป็นสิ่งจำเป็น และมีบทบาทค่อนข้างสูง ลูกค้าต้องมีเหตุผลในการซื้อมากกว่าเห็นโฆษณาแล้วออกไปซื้อ สีไม่เหมือนสบู่ ยาสีฟัน หรือขนมขบเคี้ยว กว่าจะซื้อต้องใช้เวลา ต้องมี Need ในการทาสีบ้าน ถ้าบังเอิญว่าเขากำลังจะทาบ้านแล้วไปเห็นโฆษณาก็คงดี แต่กรณีนี้คงมีน้อยมาก เราต้องแน่ใจว่า โฆษณาหรือแคมเปญสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันไปกับแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ”

ในส่วนของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญ ทางนิปปอนเพนต์จะนำคุณสมบัติเด่นของสีมานำเสนอต่อผู้บริโภคในแต่ละ Segment เป็นระยะ โดยสินค้าจะมีคุณสมบัติที่สามารถป้องกัน รวมถึงแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้แต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด เนื่องจากทุกวันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้น การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคจากกำลังซื้อเป็นตลาดบน กลาง และล่างเช่นเดียวกับอดีตสินค้าย่อมไม่ได้รับการตอบรับ

กฤช เมธาธราธิป : American Standard


ในลวดลายและรูปทรงอันอ่อนช้อยของสุขภัณฑ์ที่เหล่าผู้ประกอบการบรรจงนำเสนอเพื่อจุดหมายเดียวกันคือมอบความสุขให้กับผู้ใช้ตามนิยามของคำเรียกหากลับแฝงเร้นไว้ซึ่งหลายเรื่องราว โดยเฉพาะการแข่งขันที่ดุดันของอุตสาหกรรมนี้

Total Solution

“ทุกวันนี้ เราไม่ได้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ แต่เราเป็น Total Solution สำหรับห้องน้ำ เราไม่อยากให้ใครก็ตามจะนึกถึงอเมริกัน สแตนดาร์ด เฉพาะเวลาต้องการซื้อสุขภัณฑ์ แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับห้องน้ำ ความรู้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก็สามารถติดต่อเรา หรือเดินทางมาที่นี่ได้ เรายินดีให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย”

กฤช เมธาธราธิป ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท อเมริกัน สแตนดาร์ด บีแอนด์เค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกถึงวัตถุประสงค์ของการสร้าง American Standard Bathaus สถานที่นัดพบระหว่างเขากับ Marketeer ที่ถูกใช้เป็นทั้งโชว์รูมและศูนย์ข้อมูลผลิตภัณฑ์ห้องน้ำครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลเวิลด์


“บางครั้งลูกค้าต้องการสินค้า แต่ไม่รู้ว่าจะไปดูที่ไหน ก็มาที่นี่ได้ เพราะเรามีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบ สมมติจะซื้อโถ เราจะบอกให้ทดลองนั่ง เพราะไม่มีทางที่จะรู้ถึงความเหมาะสมได้นอกจากการได้ทดลองใช้ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นประสิทธิภาพของการใช้งานได้ไม่แตกต่างจากเมื่อนำไปติดตั้งที่บ้าน ไม่เสียใจภายหลัง ซึ่งเรายังมีพนักงานที่มีความรู้ไว้คอยแนะนำลูกค้า มีมุมหนังสือไว้ให้ค้นคว้า โดยจะไม่มีการซื้อขายสินค้าเกิดขึ้นที่นี่ เพราะเราจะแนะนำให้ลูกค้าไปซื้อกับดีลเล่อร์ใกล้บ้าน”

นอกจากนี้ American Standard Bathaus ยังเป็นที่ตั้งของ AS Club ที่เป็นแหล่งนัดพบสำหรับสถาปนิกและมัณฑนากร โดยสมาชิกจะได้รับข้อมูล ข่าวสาร ด้านสินค้าและงานดีไซน์ พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นๆซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องของสุขภัณฑ์เท่านั้นอีกด้วย

ดังนั้น สถานที่แห่งนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อนำจิ๊กซอว์ที่ต่างมีผลต่อธุรกิจทั้งผู้บริโภค สถาปนิก และมัณฑนากรมาพบกัน เพื่อให้ได้สัมผัสกับคุณภาพสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม กระทั่งหล่อหลอมเป็นความเชื่อมั่นในแบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อใดที่กลุ่มคนเหล่านี้มีความจำเป็นต้องเลือกซื้อสุขภัณฑ์ แบรนด์ “อเมริกัน สแตนดาร์ด” ย่อมต้องเป็น Top of Mind อย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่ใช่ว่าเราจะให้ความสำคัญในการ Educate ลูกค้ามากกว่าการสร้างแบรนด์ เพราะการทำ Marketing ก็คือการสร้างแบรนด์ และการที่ลูกค้าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อเมริกัน สแตนดาร์ดก็ย่อมเกิดจากความเชื่อถือในแบรนด์ แต่การให้ข้อมูลกับลูกค้าเราถือว่าเป็นหนึ่งในบทบาทของความเป็น Total Solution ที่ย่อมไม่ใช่การขายของเพียงอย่างเดียว”



จากหนังสือ : นิตยสาร Marketeer

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

SIGVE : DTAC

คุณซิคเว่มีประวัติที่ประหลาดมาก เป็นลูกชาวนาแต่เติบโตสายนักการเมือง เคนเป็นผู้นำกลุ่มการเมือง ปราศรัยต่อหน้าชนชั้นแรงงานทุกวันกรรมกร เคยเป็นแม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของนอร์เวย์ และอยู่ดีๆก็เบื่อ ทิ้งความก้าวหน้าทางการเมืองไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด และเปลี่ยนสายมาเป็นนักธุรกิจ

คุณซิกเว่เป็นคนที่ผมเห็นบุคลิกเขาเปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ สมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ คุณซิกเว่เป็นผู้บริหารใหญ่ของเทเลนอร์ที่ฟอร์มจัดมาก มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง และพูดจาเป็นหลักเป็นการ แต่ผมคิดว่าพอได้มาบริหารแทคจริงๆแล้ว และได้มีประสบการณ์แปลกๆ ลองทำอะไรใหม่ๆ ทำให้คุณซิกเว่ค้นพบตัวเองว่าเป็นคนอีกแบบหนึ่ง แบบที่พร้อมจะท้าทายขนบเดิม แบบที่จะทำอะไรที่คนชอบบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ติดดิน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมไทย




วิธีการบริหารของคุณซิกเว่เหมือนไม่บริหาร คุณซิกเว่ชอบบอกพวกเราเสมอว่า เขาเป็นโค้ชที่คอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของผู้เล่น และหาผู้เล่นที่เก่งๆมาในตำแหน่งที่ต้องการ และค่อยๆสร้างพัฒนาการให้เติบโตไปพร้อมองค์กร ซึ่งคุณซิกเว่ก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เป็นซีอีโอที่ใว้ใจลูกน้องมากๆ พยายามที่จะเป็นผู้อนุมัติงานให้น้อยที่สุด ไม่เคยดูภาพยนตร์โฆษณาก่อนฉายจริงๆ ไม่เคยสงสัยหรือไม่เคยต้องการรับรู้แผนการตลาดในรายละเอียด แต่ถ้ามีปัญหาก็เดินเข้าไปหาได้ทุกเวลา

คุณซิกเว่เป็นคนชอบตั้งเป้า อาจจะเป็นเพราะตั้งแล้วได้ทุกทีก็ได้ ตั้งแต่แผนร้อยวันเป็นต้นมา เป้าที่ตั้งก็มักจะเป็นการท้าทาย ในระดับที่ฝ่ายการเงินชอบบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และยิ่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ คุณซิกเว่ยิ่งชอบ และคิดว่าเป็นเรื่องของ Mindset พอตั้งใจแล้ว ทุกๆอย่างมันก็จะมาเอง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
คุณซิกเว่มีพรสวรรค์เรื่องการพูดปลุกใจอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะเคยเป็ผู้นำชนชั้นแรงงานและต้องกล่าวสุนทรพจน์บ่อยๆ เวลาพูดกับพนักงาน คุณซิกเว่จะมีลูกเล่นและมีจังหวะจะโคนที่ลอกเลียนแบบได้ยาก คุณซิกเว่สามารถทำให้คนรู้สึกมีพลังและอยากออกรบได้ไม่ยากด้วยวิธีโน้มน้าวใจและปลุกระดม รวมถึงวิธีการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่เคยเหนื่อยหรือท้อ และไปทำกิจกรรมกับลูกน้องทุกครั้งที่มีโอกาส

ชื่อหนังสือ : HAPPY คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน
ผู้แต่ง : ธนา เธียรอัจฉริยะ


-------------------------------------------------

Thaicoon : พี่เรียนรู้อะไรจากการใช้ชีวิตการเมือง
ซิคเว่ : มันเป็นเรื่องของกระบวนการ
ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องกระบวนการ เพราะยูไม่ได้ทำงานกับเครื่องจักร ยูทำงานกับคน
และการทำงานร่วมกับคนนั้นไม่แตกต่างกัน ทั้งใน “การเมือง” และ “ธุรกิจ”

ในธุรกิจ คุณมี “ลูกจ้าง” ... ในการเมือง คุณมี “สมาชิกพรรค”
ในธุรกิจ คุณมี “ลูกค้า” ... ในการเมือง คุณมี “ผู้ลงคะแนนเสียง”
มันเป็นแนวคิดเดียวกัน

Thaicoon : ทำไมพี่เลิกเล่นการเมือง
ซิคเว่ : พี่อยู่กับมันมา 11 ปี หลังจากนั้นรู้สึกว่าข้างนอกมีอะไรให้ทำมากกว่าการเมืองเป็นการเดินวนเวียนอยุ่ในวงของผู้คนที่เล็กมากๆ ใช้ชีวิตอยู่กับรัฐสภา

บางคนคิดว่าตัวเองอยุ่ใน ศูนย์กลางของสังคม และอำนาจ จริงๆ แล้ว
ยิ่งอยู่ความคิดยิ่งแคบมากๆ
สนทนากับคนเดิมๆ ในเรื่องที่คล้ายๆ กันทุกวัน
ดังนั้นชีวิตอยู่ในสังคมค่อนข้างปิด
พี่รู้สึกว่าข้างนอกมันต้องมีอะไรน่าสนใจ
...และหลังจากออกมา
คิดว่าตัดสินใจถูก


อยู่ในวงการการเมืองก็เสมือนการเดินวนอยู่ในห้องๆ เดียว ไม่ใช่บ้านทั้งหลัง ดังนั้น พี่แค่รู้สึก อยากจะลองทำอะไรอย่างอื่นดู พยายามพาชีวิตก้าวไปข้างหน้า

Thaicoon : พี่ยืมกลยุทธ์ทางการเมืองมาใช้ทางธุรกิจเหรอ
ซิคเว่ : ถูกต้อง

Thaicoon : พี่เห็นงามกับการประชาสัมพันธ์ มากกว่าโฆษณา
ซิคเว่ : พี่ว่าการประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพมากกว่า

Thaicoon : เหมือนริชาร์ด แบรนด์สันสินะ
ซิคเว่ : เหมือนกัน...พี่แบรนด์สันใช้ตัวเองเป็นแบรนด์

Thaicoon : ริชาร์ด แบรนด์สัน มีอิทธิพลอะไรกับพี่บ้าง
ซิคเว่ : แน่นอน พี่อ่านหนังสือของเขา และศึกษาวิธีที่เขาทำงาน พี่คิดว่าเขาทำสองสิ่งที่น่าสนใจ
หนึ่ง เขาสร้างแบรนด์ โดยใช้ตัวของเขาเอง... คล้ายกับสิ่งที่เราทำมาก
สอง เขากล้าที่จะแตกต่าง... คล้ายกับสิ่งที่ ดร.โจนาสพูดไว้มาก
คืออย่าร้องเพลงตามคนอื่น จงร้องเพลงของตัวเอง
Thaicoon : หลังจบฮาร์วาร์ด ทำไมถึงเข้าสู่โลกธุรกิจ
ซิคเว่ : พี่แค่อยากลองทำอย่างอื่นดูบ้าง
สิ่งหนึ่งซึ่งพี่พยายามเน้นศึกษามาก ขณะที่เรียนฮาร์วาร์ด คือการทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐบาล” และ “ธุรกิจ” สองวิชาที่พี่ลงเรียนไปเน้นศึกษาเรื่องนี้
... “ธุรกิจ” พึ่งพา “รัฐบาล” อย่างไร
... และอีกด้านหนึ่ง “รัฐบาล” พึ่งพิง “ธุรกิจ” อย่างไร
พี่เคยผ่านงานด้านรัฐบาลมาแล้ว ตอนนั้นอยากลองดูกับทางฝั่งธุรกิจบ้าง เพื่อใช้ประโยชน์จากความรู้เกี่ยวกับรัฐบาลที่มี ดังนั้น เมื่อกลับไปนอร์เวย์ มันแปลกมากที่จะหันไปสู่ธุรกิจ
คนส่วนมากบอกว่าบ้า ที่เลิกเล่นการเมือง

Thaicoon : เพราะเฮียเป็นดาวรุ่ง
ซิคเว่ : แน่นอน เฮียได้ลองเกือบทุกอย่างมาแล้ว เฮียยังหนุ่มนะเว้ย

Thaicoon : เฮียเสียโอกาสเป็นนายกนอร์เวย์คนต่อไปแล้ว
ซิคเว่ : 5555 คนจำนวนมากพูดว่า คุณทำอย่างนี้ทำไม ขณะที่อยู่ใจกลางอำนาจ โอ้ พระเจ้า
ไม่เคยมีใครทำได้ใกล้เคียงกับคุณเลยนะ เฮียก็แค่ตอบไปว่า พอเป็นพอ อยากลองอย่างอื่นบ้าง เมื่อกลับนอร์เวย์ หลังจากสองปีที่ฮาร์วาร์ด ผู้คนก็พยายามดึงเฮียกลับสู่การเมือง ตอนนี้เฮียมีค่ามากกว่าเดิมอีก จากสิ่งที่ได้จากฮาร์วาร์ด เฮียเซย์โน แค่ต้องการทำอย่างอื่นเท่านั้น

Thaicoon : เสียใจไหมที่ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจ
ซิคเว่ : ไม่ต้องการการเมือง

Thaicoon : เคยคิดจะกลับสู่การเมืองหรือเปล่า
ซิคเว่ : ไม่ มันจับไปแล้ว

Thaicoon : ชั่วนิรันด์
ซิคเว่ : ไม่ ไม่พูดว่าจะไม่เข้าไปอีกเลย แต่ ณ ตอนนี้ไม่มีแผน
ชื่อหนังสือ : SIGVE'S WAY
ผู้แต่ง : ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย
อาทิตย์ โกวิทวรางกูร

Manager Insight

ผู้จัดการ ( Manager )
เป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการภายในองค์การต่างๆ โดยอาจจะทำงานอยู่ในตำแหน่งและระดับที่แตกต่างกัน ผู้จัดการ ถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญในทุกองค์การ เนื่องจากทุกๆองค์การต่างก็ต้องการความก้าวหน้าและความสำเร็จในการดำเนินงาน แต่ทุกองค์การกลับดำเนินงานอยู่ในโลกของความไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะมีปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงจำเป็นจะต้องมีผู้จัดการคอยควบคุมดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ก้าวหน้า และผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี

ผู้บริหารระดับสูง ( Top Executive ) หรือที่เรียกสั้นๆว่า ผู้บริหาร เป็นบุคคลที่ปฏิบัติงานอยู่ในระดับบนสุดขององค์การ ผู้บริหารจะมีอำนาจ หน้าที่ และรับผิดชอบครอบคลุมในวงกว้างซึ่งจะมีอิทธิพลต่ออนาคต ความอยู่รอด ความก้าวหน้า หรือความล้มเหลวขององค์การ ผู้บริหารระดับสูงจะทำการกำหนดเป้าหมายระยะยาว ( Long Term Goal ) ของธุรกิจในรูปของวิสัยทัศน์ ( Vision ) ภารกิจ ( Mission ) กลยุทธ์ ( Strategy ) และนโยบาย ( Policy ) เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกในระดับต่างๆขององค์การ นอกจานี้ผู้บริหารระดับสูงยังต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาที่หลากหลาย ซับซ้อน ไม่ชัดเจน และเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอน