ในบริเวณห้องทำงานบนชั้นสอง ปรีชา ประกอบกิจกรรมการผู้จัดการของบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด นั่งมองสมาชิกและนักธุรกิจของแอมเวย์ที่เดินกันอย่างขวักไขว่บริเวณชั้นล่างอย่างภาคภูมิใจความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจำนวนสมาชิก หรือตัวเลขรายได้ของบริษัทที่สูงเกือบ 10,000ล้านบาท แต่มาจากความภาคภูมิใจที่เขาได้มีโอกาสสร้างความสำเร็จให้กับคนธรรมดาหลายๆคน ในฐานะนักธุรกิจอิสระของแอมเวย์
มีหลายครั้งที่ปรีชาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงยังทำงานอยู่ตรงนี้ ไม่เลือกไปทำงานเป็นนักธุรกิจอิสระของแอมเวย์ และคำตอบของเขาก็คือ เป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน ความสุขของปรีชา คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนักธุรกิจอิสระทั้งหลาย
“ มนุษย์แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันไป สำหรับผมแล้วพอเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริษัทแอมเวย์ เติบโตมาในสายงานบริหาร ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมได้ทำร่วมกับพนักงานคนอื่น ไม่ใช่แค่เพียงทำให้เขามีรายได้ หรือคนจำนวนหนึ่งมีรายได้ หรือบริษัทมีรายได้เติบโตมาจนยอดขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมยังอยู่มาถึง 18ปี เพราะผมเห็นว่าทำให้ผู้คนพัฒนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งที่อื่นไม่มี”
“ถ้าผมทำจริง อาจจะไม่เอาชนะอุปสรรคเหมือนที่คนอื่นทำก็ได้ เพราะต้องนำเสนอสินค้า ชักชวนคนต้องทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปีๆ และแน่นอนทุกครั้งที่ทำต้องเจออุปสรรค มันเป็นไปได้ว่าผมอาจจะยอมแพ้ตั้งแต่ขายราย สองรายแรก และอาจไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลยก็ได้ ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ”
ชีวิตของปรีชาในอเมริกาใน 4ปีแรก หมดไปกับหน้าที่หลักสองอย่าง คือ เรียน และทำงาน ตั้งแต่ 7โมงเช้าถึงช่วงเที่ยงจะเป็นชั่วโมงแห่งการเรียน และช่วงเวลาที่เหลือจากนั้นจะหมดไปกับการทำงานที่ร้านซ่อมโทรทัศน์ และเครื่องเล่นวีดีโอเทป เงินที่ได้มาจากการทำงานถูกแบ่งออกเป็น 3ส่วน โดยส่วนแรกเก็บไว้สำหรับค่าเทอม ส่วนที่สองเป็นค่ากินอยู่ และส่วนที่สามเป็นเงินติดกระเป๋าเล็กน้อย
แม้จะยอมรับว่าชีวิตในอเมริกาเป็นช่วงที่ลำบากมากที่สุดช่วงหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้จากการแลกครั้งนี้ คือ ประสบการณ์ที่มีค่ามหาศาล
“ชีวิตช่วงนั้นผมจะเริ่มต้นด้วยตอนเช้าประมาณ 7โมง เรียนจนถึงเที่ยง และตอนบ่ายจึงไปทำงานประมาณ 6ชั่วโมงต่อวัน สมัยนั้นผมทำงานซ่อมทีวี เครื่องเล่นวีดีโอเทปชั่วโมงหนึ่งได้ตั้ง 10เหรียญ ซึ่งรายได้ดีกว่าการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารมาก พอผมเริ่มคล่อง รู้จักคนมาก ผมก็เลยไม่ทำงานเป็นชั่วโมงแล้ว มาซ่อมเป็นเครื่องแล้วแบ่งกับทางร้านคนละครึ่ง บางทีผมซ่อมเครื่องหนึ่งใช้เวลา 15นาทีก็เสร็จแล้ว ครึ่งหนึ่งก็ 10เหรียญ แล้วตอนนั้นหาคนซ่อมโทรทัศน์ เครื่องเล่นเทปยาก แต่มันขายดีมาก เพราะว่าของใหม่คนต้องการเยอะ”
“ช่วงนั้นถึงจะลำบากแต่ก็สนุกมาก ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมคิดว่าได้ประสบการณ์ ได้ผลผลิตที่ดีมากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะเรียนด้วย ทำงานด้วย เก็บเงินด้วย เพราะฉะนั้นเลยสนุกมาก ถือว่าเป็นจุดหักเหหนึ่งของชีวิตที่ผมตัดสินใจไปเรียนต่อ ถ้ามัวแต่คิดว่าอยู่เมืองไทยดีกว่า ทำงานเป็นช่างอย่างนี้ต่อไป ตอนนี้สายตาคงไม่ดี ซ่อมทีวีแต่ละทีคงทำไม่ได้แล้ว”

“ผมไม่เคยรู้สึกโกรธหากใครมองว่าแอมเวย์เป็นลัทธิ ผมกลับมองว่ารู้สึกดีด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะพูดในเชิงของการเยาะเย้ย หรือกระแนะกระแหน เพราะความเป็นลัทธิเปรียบเทียบกับนิสัยของคนได้หลายอย่าง เช่น ความรักชาติ คุณอาจจะรักหลงอะไรอย่างหนึ่งจนคุณยึดมั่นอยู่ตรงนี้ และมีหลายคนเป็นเหมือนกับคุณ ก็เลยตั้งว่าเป็นลัทธิ”
“โดยนัยแล้ว ลัทธิกับศาสนาใกล้เคียงกัน ทำไมคุณเชื่อศาสนา เพราะคุณนับถือองค์ศาสดา มีวิธีการสอนอย่างนี้ เมื่อคุณเชื่อโดยที่ไม่คลางแคลงใจ และมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันมาเชื่อเหมือนคุณ กลุ่มที่เชื่อเหมือนกันนี้ ก็เลยถูกคนภายนอกมองว่าเป็นลัทธิ เพราะฉะนั้นหากมองว่าแอมเวย์เหมือนลัทธิ แอมเวย์ต้องมีวัฒนธรรม หรือแนวคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้คนเชื่อในสิ่งเดียวกันได้ ดังนั้น ถ้าถามว่าแอมเวย์เชื่ออะไร หรือเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้คนนับล้านทั่วโลกถึงมาหลงใหลกับแอมเวย์ ในความเห็นของผมแล้ว คนเหล่านี้เขาเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของอะไรบางอย่าง เมื่อเขามาทำงานที่แอมเวย์”
“เมื่อเขาเข้ามาในสังคมนี้ เขากำลังเชื่อถืออะไรบางอย่าง หนึ่ง แอมเวย์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ สอง แอมเวย์สนับสนุนให้คุณยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง สร้างอนาคตด้วยตัวเอง คุณไม่ต้องแบมือขอใคร และไม่ยอมแบมือคอยรับจากใครด้วย เมื่อเขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของด้วยกันทั้งหมด ก็กลายเป็นลัทธิแล้ว แต่ลัทธิอาจจะมองในเชิงเข้าใจผิด อันนี้ผมยอมรับ ลัทธิแอมเวย์มีแต่คนไม่ชอบ เพราะว่ามีคนมาชอบตื๊อ ชอบพูดเกินจริงว่าทำแล้วรวย มีแต่คนมาบอกว่า ‘ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ ถึงมาทำแอมเวย์’ “
“คำพูดแบบนี้มีมาอยู่เสมอ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความเข้าใจผิด อาจมาจากคนแอมเวย์ไปสร้างให้คนอื่นเข้าใจผิด หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยมาพบปะแอมเวย์แท้ๆ เขาไปได้ยินมาจากคนอื่นอีกที และบอกต่ออย่างนี้ไปเป็นทอดๆ เลยเหมาเอาว่าแอมเวย์ไม่ดี ผมมั่นใจว่า ถ้าใครไม่มีอคตินะ ลองเปิดใจสักนิด อาจไม่ทำ หรือไม่ซื้อ แค่เข้ามาฟัง ผมคิดว่านั่นอาจเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่งในชีวิตเขา”
จากหนังสือ : นิตยสาร Marketeer
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น